หลวงพ่อไฉน ฉนฺทสาโร

พระครูปลัดธนาทร 

หลวงพ่อไฉน ฉนฺทสาโร

วัดสังฆปรีดี อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น

ประวัติ หลวงพ่อไฉน

พระครูปลัดธนาทร หลวงพ่อไฉน ฉนฺทสาโร พื้นเพท่านเป็นคนวัดพระยาไกร เขตยานนาวา กรุงเทพฯ เป็นบุตรของ นายเฉลียว และนางสมจิตร สงปรีดี มีพี่น้อง ๕ คน ท่านเป็นคนที่ ๔ เมื่อวัยเด็กท่านชอบเรื่องของพระมาก และศึกษาการเป็นอยู่ของพระ 

ท่านได้ตำราการทำกสิณ

เมื่ออายุ ๑๕ ปี นั่งกสิณทุกอย่าง คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่ออายุครบหลังปลดจากทหารท่านก็ได้บวชเป็นพระ เมื่ออายุครบ ๒๑ ปี ท่านก็ได้ไปเป็นทหารรับใช้ชาติจนครบ ๒ ปี เมื่อปลดจากทหารท่านก็ได้บวชเป็นพระเมื่อปี ๒๕๓๐ และท่านได้เดินธุดงค์ ไปยังจังหวัดเพชรบูรณ์ อ.บึงสามพัน โดยท่านได้ตำราการทำกสินของ หลวงปู่แหวน ที่วัดหินดาดน้อย ท่านจึงเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง และเดินธุดงค์ไปในสถานที่ต่างๆหลายจังหวัด เช่น เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ ลำพูน เชียงใหม่ เชียงราย อุดร ขอนแก่น ศรีษะเกศ และอีกหลายจังหวัด

ประสบการณ์ตอนเดินธุดงค์ การเดินธุดงค์เมื่อปี ๒๕๓๐ ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ณ. อุทยานน้ำหนาว เมื่อสมัยนั้นยังเป็นป่าดงดิบ อยู่เลย ท่านจำได้ว่าตอนเที่ยงวันแทบจะมองไม่เห็นพระอาทิตย์เลย และอากาศเย็นมากๆ ท่านได้เดินเข้าไปอยู่ในป่าลึกเพื่อฝึกสมาธิให้แกร่งยิ่งขึ้น และขอเรียนวิชากับป่า จนคืนหนึ่งระหว่างที่กำลังปฏิบัติธรรมตามปกติ ในนิมิตมีฤๅษีองค์หนึ่งมาปรากฏและยังมีแนะนำในเรื่องการดูธาตุของ คนหรือพูดอีกอย่างก็คือสอนให้ดูดวงนั้นเอง เรียกว่าตรวจดูธาตุสี่ แต่การสอนของท่านๆเป็นการพูดให้ฟังและจำเอาเองจำจดไม่ใช่จดจำเป็นการเรียนในสมาธิเสร็จแล้วจึงออกจากสมาธิมาจดเป็นอักษร ท่านจึงใช้อยู่ทุกวันนี้ ในสถานที่เดียวกันคือ ป่าอุทยานน้ำหนาว ระหว่างการเดินอยู่ในป่า ท่านก็เดินในตอนกลางวันพอสี่โมงเย็นก็ต้องหาที่พักใหม่ทุกวันระหว่างที่เดินก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังเดินตามเสือโคร่งอยู่เห็นรอยเท้าอยู่ทางที่จะลงลำธารเป็นลอยขนาดใหญ่กว่ากำปั้นสักหน่อย ลองเอามือแตะดูยังอุ่นอยู่เลย แต่ท่านต้องเดินทางไปเส้นทางนั้น ท่านจึงเดินข้ามลำธารไปอีกฝั่งหนึ่ง แล้วเดินเลี้ยวซ้ายไปซัก ๒๐ เมตร แล้วเลี้ยวขวาอีกที ท่านต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นเสือโคร่งขนาดใหญ่ เดินเบื้องหน้าท่านประมาณ ๕๐ เมตร เมื่อตั้งสติได้ท่านได้ตั้งจิตอธิฐานแผ่เมตตาให้กับเสือ ไม่น่าเชื่อเสือตัวนั้นก็เดินเลี้ยวซ้ายหายไป ท่านจึงเดินทางต่อไป เมื่อตกตอนเย็นประมาณ 4 ทุ่ม ท่านก็ปักกรดของท่านและทำกิจกรรมต่างๆ และทำสมาธิเช่นเคย ท่านจะมีพระพุทธรูปองค์เล็กๆติดตัวไปด้วยไว้ทำวัตรสวดมนต์ คืนนั้นท่านก็ทำวัตรสวดมนต์เหมือนเคยและนำพระพุทธมาวางบนแคร่เล็กๆเพี่อสวดมนต์ เมื่อสวดมนต์ก็ทำสมาธิจนดึก ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรลากเข้ามาใกล้กรดเสียงดังแสกๆเข้ามาใกล้ๆเรื่อยๆ จึงลืมตาดูในบริเวณที่นอนต้องจุดไฟไว้หนึ่งกองจึงทำให้มองเห็นงูตัวใหญ่มากๆตัวหนึ่ง ( ลองกางแขนให้สุดนั้นคือความใหญ่ไม่รวมความยาว) มาหยุดอยู่ตรงเบื่องหน้าพระพุทธรูป และแผ่พังพานโน้มหัวลง ทำความเคารพพระพุทธอยู่  ๓ ครั้ง แล้วจึงหันไปโดยรอบ เหมือนจะบอกว่าอย่ามายุ่งพระท่านปฎิบัติธรรมอยู่ แล้วงูใหญ่ก็เอาหัวลง ที่ข้างหลังงูซิ มีผู้ชายใส่ชุดขาวผมขาวแก่มากเกล้าผมมวยนั้งอยู่บนหลังงู หนวดเครายาวมาก แล้วงูใหญ่ก็เลี้ยวลอดใต้แคร่ ที่วางพระพุทธรูปไปได้ แคร่ตัวนั้นสูงประมาณครึ่งศอก กว้างครึ่งซอกแต่งูใหญ่เลื้อยผ่านไปได้ หน้าประหลาดมากเดินป่าที่เขาชะเมา จังหวัด ระยอง เป็นการเดินป่าที่แสนทุลักทุเล เพราะต้องเดินใต้หน้าผาขึ้นไปข้างบน บางช่วงก็เดินสบาย บางช่วงก็ไต่เถาวัลย์แล้วเหวี่ยงตัวขึ้นไป เมื่อขึ้นถึงข้างบนจะเป็นลักษณะคล้ายทางเดิน ทางด้ายซ้ายมือมีลำธาร ด้านขวามือป่าไผ่ที่หนาทึบมาก ยากที่คนจะเดินเข้าไปได้ อยู่ๆก็มีช้างป่าตัวใหญ่เดินออกจากป่าไผ่ มายืนกินน้ำอยู่ที่ลำธาร ท่านจึงหยุดเดินช้างนั้นหยุดกินน้ำและหันมาทางท่าน แล้วทำท่าเหมือนโกรธกระพือหู แกว่งงวงไปมา ส่งเสียงฟึดฟาดใส่ท่าน ท่านก็หยุดนิ่ง และแผ่เมตตาอีกใจหนึ่งก็กลัว ๆ กล้าๆ แต่คนเราเมื่อถึงคราวจะตายก็ต้องตาย ถ้าเคยมีกรรมต่อกันมา สักพักช้างก็เดินเข้าไปในป่าไผ่แล้วหายไป ท่านจึงเดินต่อเมื่อมาถึงตรงที่ช้างหายไป ท่านจึงหันหน้าไปดู ธรรมดาต้องมีรอยแหวกของต้นไผ่ แต่กับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ได้พบหลวงปู่คำคนิง ท่านได้มีโอกาสที่จะเดินธุดงค์เป็นประจำ มีอยู่ปีหนึ่งที่ท่านได้พักอยู่ที่วัดคลองปลัดเปลี่ยง วันหนึ่งขวัญจิต ศรีประจัญ ได้จัดงานทำบุญบ้านหลังใหม่ ที่โยมขวัญจิตได้ซื้อไว้ที่สายบางนา และในวันงานนั้นโยมขวัญจิตได้นิมนต์แต่พระปฏิบัติ มาสวดมนต์หนึ่งในนั้นมีท่านและหลวงพี่หมูอยู่ด้วย เมื่อท่านไปถึงบ้าน โยมขวัญจิตบอกว่าหลวงปู่คำคนิงอยู่บนบ้านที่ห้องพระ ท่านจึงได้ขึ้นไปกราบนมัสการหลวงปู่ แต่ว่าหลวงปู่ท่านทำสมาธิอยู่จึงไม่รบกวน สักพักหลวงปู่ท่านคลายจากสมาธิ ท่านจึงเข้าไปกราบหลวงปู่คนิงที่ตัก ซึ่งคำแรกที่หลวงปู่คำคนิงพูดท่านพูดกับหลวงพ่อไฉนด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า “รอมานานแล้ว”และหลวงปู่ท่านช้อนมือของท่านขึ้น แล้วบอกว่า ”อย่าสึกจากพระนะ จะได้เป็นใหญ่เป็นโตในทางพระพุทธศาสนา” แล้วหลวงปู่ก็เอามือของท่านมาจับที่ศรีษะของหลวงพ่อไฉนแล้วจึงเป่าวิชาประสิทธิให้ หลวงปู่ท่านบอกว่าสักวันจะรู้เอง สิ่งที่หลวงปู่ให้คือวิชาหรืออะไรสักอย่างที่ได้จากหลวงปู่คำคนิงซึ่งนั่นก็คือวิชาฤษีแปลงสารในทุ่งใหญ่นเรศวร เมื่อครั้งที่ท่านเดินธุดงค์เข้าสู่ทุ่งใหญ่นเรศวร จะมีพระหลายรูปบอกท่านว่าเดินธุดงค์ที่ไหนก็ได้ แต่อย่าไปเดินแถวทุ่งใหญ่นเรศวร เพราะพระสงฆ์ไปตายกันมากแต่ท่านก็เข้าไป ไม่ใช่อยากลองดีแต่อยากรู้ว่าที่ตายนั้นอยู่ตรงไหน ท่านคิดว่าคนเราเมื่อถึงคราวตายอยู่ตรงไหนก็ตายถ้าเราเคยตายตรงนั้น มันก็ต้องมาตายตรงที่เดิมจึงทำให้ท่านตัดสินใจเดินธุดงค์ทุ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียว หลังจากที่ท่านเดินทางถึงทุ่งใหญ่ยิ่งลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ก็ได้รู้ว่ามีอะไรที่ท่านจะต้องค้นหาและได้เจออีกมาก ในทุ่งใหญ่นั้นมีพระสงฆ์จำนวนมากที่เอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เพราะความโลภหรือเพราะความเจ็บป่วยอย่างหนักจนต้องเอาชีวิตมาทิ้ง ในสถานที่บางที่มีโครงกระดูกหรือเศษจีวรพร้อมทั้งบาตรถูกทิ้งอยู่ เมื่อท่านปักกลดและสวดมนต์ในยามค่ำคืนจะมีเสียงพระสวดมนต์อยู่บริเวณใกล้ ๆ กลดนั้นอย่างมาก ท่านจึงตั้งจิตแผ่เมตตาให้เสียงเหล่านั้นก็จะเงียบหายไป ในทุ่งใหญ่ยังมีพระสงฆ์ที่กลายเป็นฤาษีอีกมาก เพระไม่ได้โกนผมปลงหนวดกันเครา จีวรก็เก่าและขาด เป็นพระสงฆ์ที่มีอภิญญาสูง ๆ อีกมาก พระฤาษีเหล่านั้นหนีความวุ่นวายทางโลก ไม่หวนกลับมาอีก ต่อเมื่อศาสนาใกล้เสื่อม พระเหล่านั้นจะออกจากป่ามาช่วยเหลือศาสนา

เมื่อกลับมาถึงวัดหนามแดงท่านก็ได้พบกับอาจารย์มานิต อาจารย์มานิตเป็นศิษย์ของอาจารย์ย่ามแดง เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท และพระอีก ๓ รูป

เหตุจำเป็นต้องลาสิกขา…

และแล้วท่านต้องสึกจากการบวชเป็นพระเพราะไม่มีใครดูแลแม่ เมือปี พ.ศ.๒๕๓๑ เมื่อถึง พ.ศ.๒๕๓๓ ท่านก็ได้บวชอีกครั้ง เพราะท่านไม่ชอบชีวิตของการครอง ฆราวาส ชีวิตของท่านจึงหวนคืนสู่เพศบรรพชิตอีกครั้ง และครั้งนี้ทำให้ท่านมุ่งมั่นในการปฎิบัติมากขึ้น ในเรื่องของการรื้อภพรื้อชาติ ปลดวิบากกรรมของญาติโยม และเพียรในการฝึกฝนวิชาของหลวงปู่ศุขมากขึ้นจนแตกฉานและเพียรในหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ท่านได้เดินทางจากนครสวรรค์ มาที่จังหวัดนครราชสีมาและได้มาอยู่ที่ วัดมิตรภพ ต.กลางดง อ.ปากช่อง ได้ ๔ ปี เจ้าคณะอำเภอได้ส่งให้ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสที่ วัดซับสวอง ต.ขนงพระ

เมื่อปี ๒๕๔๐ ท่านได้เปิดการสักยันต์ในสายของ หลวงปู่ศุข จนมีลูกศิษย์มากมายและเป็นที่รู้จักของคนใน อำเภอปากช่องและจังหวัดอื่นๆมากมาย ท่านเป็นเจ้าอาวาสได้ ๑๐ ปี ท่านก็ได้ลาออกและเดินทางไปอยู่วัดดอยน้อย อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ แต่ก็อยู่ได้แค่ครึ่งปี ท่านก็ต้องได้กลับมาอยู่ปากช่องอีกครั้ง เพราะลูกศิษย์ขอให้กลับมา จึงกลับมาอยู่ที่วัดหนองแก ต.วังไทร อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

ประมาณปลายปี ๒๕๕๓ ชาวบ้านกระพี้ อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น ได้ขอบารมีนิมนต์หลวงพ่อไฉนท่านให้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าโพธิ์นิมิตร ชื่อวัดเก่า บารมีของท่านที่เป็นพระนักพัฒนาจนถึงวันนี้จากวัดป่าที่มีเพียงศาลาเก่าๆหนึ่งหลังและกุฏิไม้เก่าๆได้กลายมาเป็นนวัดที่แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง เพียบพร้อมด้วยศาสนะสถานต่างๆที่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึงปัจจุบันนี้

วัตถุมงคล สักยันต์สร้างวัด

หลวงพ่อไฉนสร้างวัตถุมงคลตั้งแต่สมัยท่านเป็นฆราวาสท่านมีวิชาและลูกศิษย์ลูกหาตั้งแต่ก่อนบวช เช่น ท้าวเวสสุวัณ รุ่นแรก สร้างประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๙ และอีกหลายอย่าง เช่น สากกะเบือแช่น้ำมนต์ ใครที่อยากได้ต้องไปอธิษฐานจิตเอาเอง แล้วแบมือรอที่บนผิวน้ำ เพราะท่านจะแช่ไว้ในอ่างน้ำ แล้วหากใครมีวาสนาที่จะได้ สากกะเบือก็จะลอยขึ้นมาหาเอง ผู้ที่ได้สากกะเบือรุ่นนี้ไป มักจะพบเจอประสบการณ์กับตัวเอง

นอกจากสักยันต์แล้วก็คือการทำตะกรุด ท่านจารมือเองทุกดอก บางทีก็มีลูกศิษย์นำโลหะมาให้ท่านทำให้ ดังนั้นใครที่มีไว้ต่างก็หวงแหน มีเงินก็หาซื้อไม่ได้ ท่านมักจะสอนลูกศิษย์เสมอว่าให้มีศรัทธาเป็นที่ตั้ง ศรัทธาในองค์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ เพราะถ้าหากไม่มีความศรัทธาแล้ว วัตถุมงคลหรือรอยสักก็จะไม่เกิดผลอะไรทั้งสิ้น

หลวงพ่อไฉน ฉนฺทสาโร เป็นพระที่มีความเมตตาต่อศิษย์อย่างมากและท่านยังเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีความแตกฉานในวิชาอาคมต่างๆ เช่นอักขระ ยันต์ และวิชาต่างๆไม่ว่าจะเป็น การสักยันต์ ทำตะกรุด ดูดวง ลงทองที่หน้าผาก และเชี่ยวชาญในการเล่นอักขระมากๆ ท่านเป็นลูกศิษย์ในสายของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า โดยทุกๆวันจะมีลูกศิษย์ลูกหามากราบนมัสการจากที่ต่างๆอย่างไม่ขาดสาย ท่านเป็นพระที่มีอุปนิสัยเป็นกันเองกับลูกศิษย์คุยสนุกสนานพูดตรงไม่ถือเนื้อถือตัว ใครได้มากราบนมัสการก็จะสัมผัสได้ในความเมตตาของท่านที่มีต่อศิษย์ มีความสุขสบายใจกลับไปทุกราย พุทธคุณของท่านนั้นที่ลูกศิษย์ได้พบเจอกันไม่ว่าใจเป็นในเรื่องของ คงกระพัน แคล้วคลาด เจริญก้าวหน้า โชคลาภ เมตามหานิยม มีความศักดิ์ศิษย์ยิ่งนัก

จีวรยังไม่ไหม้

เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓  หลวงพ่อไฉนท่านได้เดินทางไปปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดโนนตากลาง อ.โนนสูง จ.นครราสีมาโดยตอนเย็นของวันนั้นท่านจะต้องปลุกเสกวัตถุมงคลก่อนหลังจากนั้นในวันรุ่งขึ้นจะเป็นพิธีครอบครูให้กับลูกศิษย์ลูกหา ในขณะที่ท่านทำพิธีนั่งปลุกเสกนั้นท่านจะใช้โอ่งในการใส่น้ำเพื่อทำน้ำมนต์โดยวางไม้กระดานไว้บนปากโอ่งแล้วใช้เทียนใหญ่ขนาดเท่าแขน ๒ เล่มวางไว้บนไม้กระดานแล้วจึงเริ่มทำการอธิษฐานจิตปลุกเสกพร้อมกับทำน้ำมนต์ไปด้วย แต่สิ่งที่มหัศจรรย์คาดไม่ถึงก็คือในขณะที่ท่านนั่งหลับตาปลุกเสกอยู่นั้นเทียนเล่มหนึ่งที่ว่างอยู่บนไม้กระดานนั้นไหลลงมาทั้งๆที่ยังมีไฟลุกอยู่ไหลลงมาใส่ท่านแล้ววางทับอยู่ที่จีวรกับขาของท่านในขณะที่เทียนไหลมาอยู่ที่จีวรตรงขาของท่านนั้นไฟยังลุกอยู่แรงมากจนชาวบ้านและพระเจ้าอาวาสที่วัดโนนตากลางนั้นต่างพากันตกใจชาวบ้านยังพากันพูดว่าไฟไหม้ หลวงพ่อไฟไหม้และสังเกตดูท่านนั่งอธิษฐานจิตปลุกเสกท้ามกลางเปลวเทียนอยู่ได้นานสักพักหลังจากนั้นพระเจ้าอาวาสวัดโนนตากลางจึงได้เดินไปหยิบเทียนออกแล้วน้ำไปวางไว้ที่เดิมแต่หลังจากที่ยกเทียนออกจากท่านเจ้าอาวาสและชาวบ้านที่ได้เข้าร่วมพิธีนั้นต่างก็ตกใจกันเป็นอย่างมากเพราะบริเวณจีวรและขาของหลวงพ่อไฉนบริเวณที่เทียนไหลมาว่างติดจีวรอยู่นั้นไม่มีรอยไหม้แม้แต่นิดเพราะว่าปกติไฟโดนผ้าก็จะต้องไหม้แต่ว่านี้โดนผ้าแล้วคาอยู่ตั้งนานกลับไปเป็นอะไรเรื่องนี้ทำให้ผู้ที่พบเห็นและเข้าร่วมอยู่ในพิธีรวมถึงเจ้าอาวาสวัดโนนตากลางตกใจและเกิดความศรัทธาในพระอาจารย์ไฉนกันเป็นอย่างมากและทำให้วัตถุมงคลชุดนี้หมดไปอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นน้ำมันว่านที่ท่านเสก เหรียญหลวงปู่พรหมสรรอด และตะกรุด แถมในพิธียังมีการลองโดยใช้มีดกรีดหลังของผู้ที่มีวัตถุมงคลด้วย หลังจากที่ท่านได้ปลุกเสกเสร็จเจ้าอาวาสวัดโนนตากลางยังมาขอดูจีวรของท่านอีกทีเพื่อให้แน่ใจแต่กลับไม่มีรอยไหม้มีเพียงคราบน้ำตาเทียนติดอยู่ที่จีวรของท่าน

ด้วยอุปนิสัยส่วนตัวของหลวงพ่อท่านนั้นเป็นพระที่นิสัยร่างเริง อารมณ์ขัน แต่จะสงบนิ่งและจริงจังในพิธีต่างๆเช่าพิธีพุทธาภิเษก ท่านจะเปลี่ยนเป็นคนล่ะองค์กับเวลาที่อยู่กับลูกศิษย์ลูกหา หากท่านใดมีโอกาสไปเที่ยวขอนแก่น ลองไปกราบท่านที่อ.บ้านฝาง ซึ่งห่างจากตัวเมืองเพียง๒๐ กว่ากิโลเท่านั้น