ชาติกำเนิดและครอบครัว
หลวงปู่ศิลา สิริจันโท หรือ ศิลา นิลจันทร์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๘๘ ตรงกับวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีระกา ณ บ้านเบิด ตำบลเบิด อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ เป็นบุตรลำดับที่ ๔ ของนายแก่น และนางน้อย นิลจันทร์ ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา
ในปีเกิดนั้น ครอบครัวต้องอพยพหนีภัยความแห้งแล้งและทุรกันดาร ไปพำนักอยู่ที่บ้านส้อง ตำบลธาตุ อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๙๔ ได้ย้ายภูมิลำเนามาอยู่บ้านเกิดของมารดา คือบ้านธาตุประทับ (บ้านยางกระธาตุ) อำเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ด
การบรรพชาและการศึกษา
หลวงปู่เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ตั้งแต่เยาว์วัย (พ.ศ.๒๕๐๐ – ๒๕๑๕ จำพรรษาอยู่วัดบูรพาภิราม จ. ร้อยเอ็ด)
พ.ศ. ๒๕๐๐ (กึ่งพุทธกาล) อายุ ๑๒ ปี บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดธาตุประทับ (มหานิกาย) โดยมีพระอุปัชฌาย์พิมพ์ เป็นพระอุปัชฌาย์
ท่านได้ติดตามครูบาอาจารย์ออกธุดงค์ไปนมัสการพระธาตุพนม และมีโอกาสอุปัฏฐากพระมหาเถระสายอรัญวาสี อาทิ พระครูสัลขันธ์สังวรณ์ (อ่อนสี สุเมโธ) และได้รับคำสอนผญาธรรมจากพระธรรมราชานุวัตร (แก้ว กันโตภาโส) อดีตเจ้าอาวาสพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
การศึกษาพระปริยัติธรรมก้าวหน้าอย่างยิ่ง
- พ.ศ.๒๕๐๐ อายุ ๑๒ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี
- พ.ศ.๒๕๐๑ อายุ ๑๓ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นโท (เอกสารหาย)
- พ.ศ.๒๕๐๓ อายุ ๑๕ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก
- พ.ศ.๒๕๐๖ อายุ ๑๘ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเปรียญสามประโยค
- พ.ศ.๒๕๐๗ อายุ ๑๙ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเปรียญธรรมสี่ประโยค
อุปสมบทครั้งที่ ๑
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๙ ณ อายุย่าง ๒๑ ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ณ พัทธสีมาวัดบูรพาภิราม มีรายละเอียด ดังนี้
- พ.ศ.๒๕๐๙ อายุย่าง ๒๑ ปี อุปสมบท ณ. พัทธสีมา วัดบูรพาภิราม (มหานิกาย) อ. เมือง จ.ร้อยเอ็ด มีท่านเจ้าคุณพระสิริวุฒิเมธี (พุทธา สิริวุฑฺโฒ ป.ธ.๔) อดีตเจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายานามว่า สิริจนฺโท
- พ.ศ.๒๕๑๐ เป็นครูสอนปริยัติธรรม วัดบูรพาภิราม
- พ.ศ.๒๕๑๐ อายุ ๒๑ ปี พรรษา ๑ สอบไล่ได้เปรียญธรรมห้าประโยค
- พ.ศ.๒๕๑๕ อายุ ๒๖ ปี พรรษา ๖ สอบไล่ได้เปรียญธรรมหกประโยค
หลังอุปสมบท หลวงปู่พระมหาศิลา ศึกษาปริยัติอย่างมุ่งมั่น จนสอบได้นักธรรมชั้นเอก และเปรียญธรรม ๖ ประโยค รับพัดเปรียญกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.๙ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๕ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และได้รับหน้าที่เป็นพระอาจารย์สอนที่ รร.วัดนิคมคณาราม จ.ร้อยเอ็ดและรับหน้าที่เป็นพระที่สวดปาฏิโมกข์ในการลงอุโบสถของคณะสงฆ์ตลอดมา อีกทั้ง หลวงปู่พระมหาศิลา ได้ร่ำเรียนวิปัสนาและเรียนอักษรธรรมลาว และอ่านหนังสือจากใบลานอีสานได้อย่างแตกฉาน และได้ศึกษาคัมภีร์ใบลานสายสมเด็จลุนจาก สปป ลาว หลายฉบับ ศึกษาจนแตกฉาน
พ.ศ.๒๕๑๖ ท่านเจ้าคุณพระสิริวุฒิเมธี มีปรารภจะให้พระมหาศิลา สิริจันโท (ขณะนั้น) ไปดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอหนองพอก โดยให้พระมหาศิลา สิริจันโท (ขณะนั้น) ไปอยู่วัดนิคมคณาราม เพื่อสอนพระปริยัติธรรม เมื่อพระมหาศิลา สิริจันโท (ขณะนั้น) ทราบปรารภของพระมหาเถระผู้ใหญ่ จึงหาทางเลี่ยงปลีกวิเวกไปอยู่จำพรรษาที่วัดหนองดู่ บ้านหนองดู่ อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด ไปเป็นครูสอนปริยัติธรรมวัดหนองดู่นี้เอง ใกล้กับวัดสันติวิหาร อันมีพระอาจารย์สมาน ธัมมรักขิตโต เป็นเจ้าอาวาสความวิริยะอุตสาหะของพระมหาศิลา สิริจันโท (ขณะนั้น) ตั้งแต่ช่วงสามเณรถึง พ.ศ.๒๕๑๖ นี้ ตามธรรมเนียมการศึกษานอกจากเรียนพระปริยัติธรรมแล้ว ยังมุ่งศึกษาตามขนบธรรมเนียมประเพณีนิยมแบบพระสงฆ์สามเณรในภาคอีสาน คืออักษรธรรม อักษรขอม อักษรไทยน้อย (อักษรโบราณ) เพื่อศึกษามูลกัจจายน์ให้แตกฉาน ความรู้ทั้งทางโลก และทางธรรม สรรพวิชาอาคม ยารักษาโรค โหราศาสตร์ล้วนถูกบันทึกไว้ในใบลานทั้งสิ้น
หลวงปู่ศิลา สิริจันโท มีความแตกฉานมูลกัจจายน์ ประกอบกับสรรพวิชาจนเป็นที่กล่าวขานถึงในยุคนั้น เหตุการณ์ที่วัดสันติวิหาร ทำให้หลวงปู่ศิลา สิริจันโท เป็นที่นับถือในเรื่องการบำรุงขวัญกำลังใจแก่ศิษยานุศิษย์ คือเรื่อง ตะกรุดคอหมา (ตะกรุดปลากระป๋อง) เนื่องด้วยในยุคนั้น ระบบความคิดของสิทธิคอมมูนระบาดหนัก เครื่องรางของขลังจึงเป็นสิ่งสำคัญประกอบกำลังใจแก่ผู้คนในยามหวาดผวา
จาริกแสวงบุญ…
เมื่อท่านได้แตกฉานด้านปริยัติแล้ว หลวงปู่มหาศิลา ได้จาริกแสวงบุญ ปลีกวิเวกไปหลายจังหวัด เช่น จ.อุดรธานี จ.หนองคาย จ.ชัยภูมิได้เดินธุดงค์ ป่า ณ ภูเขา อ.สังคม จ.หนองคาย สู่ ภูเขาควาย สปป.ลาว ในปี พ.ศ.๒๕๑๗ เดินทางไปกับหลวงพ่อบ้านชาติ วัดบ้านชาติ จ.ร้อยเอ็ด (มรณะภาพแล้ว)ได้พบกับครูบาอาจารย์มากมาย เช่น หลวงปู่ทองมา ถาวโร , หลวงปู่มหาบุญมี สิรินธโร, หลวงปู่ลี กุสลธโร และเป็นสหธรรมมิกกับครูบาอาจารย์หลายรูป เช่น หลวงพ่อสมาน ธัมรักขิตโต , หลวงปู่หนู อินทวัณโณ, หลวงปู่สมสิทธิ์ รักขิสีโล, หลวงปู่ล้อม สีลสังวโร
แต่ด้วยเหตุการณ์บ้านเมืองและภาระทางครอบครัวอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลวงปู่ศิลา สิริจันโท จึงจำต้องลาสิกขาครั้งที่ ๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑ เนื่องจากได้รับการวิงวอนจากญาติให้กลับออกมาเป็นครูผู้ช่วยสอนที่โรงเรียนธาตุประทับ พร้อมทั้งต้องรับภาระดูแลมารดาและญาติผู้ใหญ่ที่ล้มป่วยหนัก ซึ่งกินเวลายาวนานถึง ๑ ปี การลาสิกขาครั้งนั้นจึงถือเป็นเพียงความจำเป็น เพื่อทดแทนพระคุณและทำหน้าที่ของบุตรหลาน